สถานการณ์ฝุ่นในประเทศไทยขณะนี้รุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ นอกจากนี้ยังมีการระบาดของเชื้อไวรัสโควิด 19 (โคโรนาสายพันธุ์ใหม่) ทำให้หลายคนมองหาตัวช่วยเพื่อลดฝุ่นละอองและป้องกันเชื้อโรคต่างๆ
เครื่องฟอกอากาศ ( Air Purifier ) เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่ได้รับความนิยมมาก หลากหลายแบรนด์ออกผลิตภัณฑ์ เครื่องฟอกอากาศ ( Air Purifier ) มาจำนวนมาก มีการนำฟังก์ชั่นและเทคโนโลยีทันสมัยเข้ามาเสริมจุดเด่นให้แบรนด์ คราวนี้ผู้บริโภคอย่างเราๆ จะเลือก เครื่องฟอกอากาศ ( Air Purifier ) จากคุณสมบัติอะไรบ้าง
1. ดูจากความละเอียดฟิลเตอร์ หรือไส้กรองของ เครื่องฟอกอากาศ ( Air Purifier )
ฟิลเตอร์หรือไส้กรองอากาศ นับเป็นหัวใจของ เครื่องฟอกอากาศ ( Air Purifier ) เลยก็ว่าได้ เบื้องต้นขออธิบายก่อนว่า มาตรฐานฟิลเตอร์แบ่งออกได้ราว 3 ประเภท คือ 1.EPA มีความละเอียดในการกรอง 3 ระดับ ได้แก่ E 10, E 11 และ E 12 สามารถดักจับฝุ่นที่มีความละเอียดได้ราว 85-99.5% ต่อมา 2.HEPA มี 2 ระดับ ได้แก่ H 13 และ H 14 มีความละเอียดในการดักจับฝุ่นราว 99.95-99.9995% และ 3.ULPA ที่มีความละเอียดในการดักจับฝุ่นมากที่สุด ได้ถึง 99.9995 - 99.999995%
ซึ่งฟิลเตอร์ที่แพทยสภา แนะนำสำหรับการเลือกซื้อ เครื่องฟอกอากาศ ( Air Purifier ) ก็คือ HEPA เนื่องจากมีประสิทธิภาพในการดักจับฝุ่นสูง แม้จะมีฟิลเตอร์ที่มีมาตรฐานสูงกว่าอย่าง ULPA แต่ผู้ประกอบการไม่ค่อยเลือกนำเทคโนโลยีนี้มาใช้ เพราะสำหรับผู้บริโภคแค่ HEPA ก็เพียงพอแล้ว เพราะสามารถดักจับแบคทีเรียและเกสรดอกไม้ ที่เป็นสาเหตุของอาการภูมิแพ้ได้โดยไม่ต้องใช้นวัตกรรมอื่น ๆ
รวมถึงในตลาดก็มีการผลิต เครื่องฟอกอากาศ ( Air Purifier ) ที่ใช้ฟิลเตอร์ต่ำกว่าอย่าง EPA ด้วย โดยตั้งราคาไว้ใกล้เคียงกับ HEPA แต่ยังไม่มีฟิลเตอร์ประเภทใดที่สามารถกรองแบคทีเรียได้เลย
2. ดูจากขนาดห้อง กับเครื่องฟอกอากาศ ( Air Purifier )
ต้องบอกก่อนว่า เครื่องฟอกอากาศ ( Air Purifier ) แต่ละเครื่องเหมาะกับขนาดห้องที่แตกต่างกัน ซึ่งเราจำเป็นต้องรู้ขนาดห้องก่อนที่จะเลือกซื้อ โดยสูตรการคำนวณง่ายๆ คือ ความกว้างของห้อง x ความยาวของห้อง เช่น ห้องนอนกว้าง 4 เมตร และยาว 4 เมตร = ขนาดห้องคร่าวๆ 16 ตารางเมตร
เมื่อเราเลือกขนาดเครื่องได้แล้ว ขั้นตอนต่อไป คือการสังเกตค่า CADR (Clean Air Delivery Rate) หรืออัตราการเปลี่ยนถ่ายอากาศ หมายความว่าค่านี้จะบอกปริมาณอากาศที่ฟอกแล้ว ไม่ใช่อากาศที่ผ่านเข้าไปโดยยังไม่ได้ฟอก ซึ่งเครื่องจะอ่านค่าออกมาเป็นหน่วยลูกบาศก์เมตรต่อชั่วโมง ก็จะทำให้เราสามารถเลือกซื้อ เครื่องฟอกอากาศ ( Air Purifier ) ได้ง่ายขึ้น โดยใช้ค่าปริมาณอากาศที่ฟอกได้ต่อชั่วโมง เปรียบเทียบกับราคา
ทั้งนี้หากในบ้านมีการแบ่งห้องเป็นสัดส่วนชัดเจน การเลือกซื้อ เครื่องฟอกอากาศ ( Air Purifier ) ขนาดเล็กและกระจายตามโซนต่างๆ ดูจะเป็นทางออกที่ดี แต่หากเป็นคอนโดมิเนียม มีเพียงเครื่องเดียวก็เพียงพอ และวางไว้ในห้องที่มีพื้นที่มากที่สุด และถ้าเป็นห้องที่มีการเปิดและปิดบ่อยๆ เช่น ร้านกาแฟ เป็นต้น ควรใช้เครื่องที่มีขนาดใหญ่มากขึ้น
3. ดูเรื่องของการเปลี่ยนฟิลเตอร์ของ เครื่องฟอกอากาศ ( Air Purifier ) ในอนาคต
สิ่งสำคัญ เมื่อซื้อ เครื่องฟอกอากาศ ( Air Purifier ) มาแล้ว หากใช้ไปสักพัก ฟิลเตอร์ที่เก็บและดักฝุ่นมานาน อาจหมดประสิทธิภาพ หากไม่เปลี่ยน เครื่องฟอกอากาศ ( Air Purifier ) อาจกลายเป็นพัดลมตัวหนึ่งที่ปล่อยลมออกมาเท่านั้น แต่ไม่สามารถฟอกอากาศได้ ซึ่งผู้บริโภคไม่ต้องกังวลไป เพราะ เครื่องฟอกอากาศ ( Air Purifier ) หลายรุ่นมักจะมีตัวจับเวลาเปิด ปิดเครื่อง เพื่อแจ้งให้ผู้ใช้รู้ว่าควรจะเปลี่ยนฟิลเตอร์เมื่อใด
4. ดูฟังก์ชั่นเสริมของ เครื่องฟอกอากาศ ( Air Purifier ) ในการฆ่าเชื้อโรค
แน่นอนว่าด้วยสถานการณ์ฝุ่นละอองที่รุนแรงมากขึ้น และเกิดขึ้นต่อเนื่อง และแต่ละครั้งก็กินระยะเวลายาวนาน ส่งผลต่อสุขภาพของหลายๆ คน ทำให้ตลาด เครื่องฟอกอากาศ ( Air Purifier ) เกิดการแข่งขันสูง ดังนั้นผู้ประกอบการแบรนด์ต่าง ๆ ก็หาฟังก์ชั่นเสริมเข้ามาเติมแต่ง เครื่องฟอกอากาศ ( Air Purifier ) ของแบรนด์ตัวเองให้โดดเด่น เพื่อจูงใจลูกค้าให้เลือกซื้อ เช่น การนำไอออนมากำจัดเชื้อโรค หรือการเพิ่มฟิลเตอร์คาร์บอนเพื่อดูดซับกลิ่น รวมถึงการใช้ประจุไฟฟ้า ไทเทเนียม หรือแสงอัลตราไวโอเลต เป็นต้น
แต่ก็มีข้อระมัดระวังสำหรับบางฟังก์ชั่น เช่น การนำโอโซนเข้ามาใช้ฆ่าเชื้อโรค แต่ไม่เหมาะที่จะเปิดเป็นเวลานาน เพราะจะส่งผลต่อเซลล์ในร่างกาย
นอกจากนี้ยังมีเกณฑ์การพิจารณาอื่น ๆ เช่น อัตราการกินไฟ หรือความเงียบของเครื่องขณะทำงาน รวมถึงการบริการหลังการขาย ศูนย์ให้บริการต่าง ๆ เป็นต้น
สุขภาพที่ดี เริ่มได้ที่ตัวคุณ ด้วยความปราถนาดีจาก เครื่องฟอกอากาศ ตราแมนเนเจอร์ ( Air Purifier By ManNature )
อ่านบทความอื่นที่น่าสนใจ