โดยปกติถ้าอากาศไม่ได้มีสภาพเลวร้าย เครื่องฟอกอากาศ ( Air Purifier ) จึงเป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ไม่ได้มีความจำเป็นมากนัก แต่ใครที่เป็นภูมิแพ้เครื่องใช้ไฟฟ้าชิ้นนี้จะเหมาะและมีความจำเป็นมาก โดยเฉพาะ คนที่กำลังเผชิญกับ PM 2.5
เครื่องฟอกอากาศจำเป็นไหม?
คนที่ตอบได้ดีที่สุดคือตัวคุณเองครับ ทั้งนี้โดยพิจารณาจากสภาพแวดล้อมภายในบ้าน ในห้องนอน ยกตัวอย่างเช่น หากละแวกบ้านอยู่ใกล้ถนนมีฝุ่นมาก ใช้นิ้วปาดขอบหน้าต่างวาดรูปได้ทุกชั่วโมง แบบนี้ต้องจัดมาใช้ด่วน ส่วนบ้านไหนที่อยู่ในหมู่บ้าน เลี้ยงสุนัข ล้อมรอบด้วยสวน ต้นไม้ อากาศดีกว่า มีปัญหาเรื่องฝุ่นน้อย แต่อาจได้ปัญหาเรื่องละอองเกสรดอกไม้ เชื้อรา ไรฝุ่น และเส้นขนของสุนัข ซึ่งทั้งหมดล้วนแต่เป็นสาเหตุของการเกิดโรคภูมิแพ้ โรคหอบ หืด และอาการระคาย เคืองบริเวณตา ลามไปจมูก
หลังจากพิจารณาแล้วว่าจำเป็น ปัญหาต่อมาก็น่าจะเป็นเรื่องของการเลือกซื้อ ซึ่งหลังจากที่หาข้อมูลอยู่นาน ก็พบว่ามีข้อสังเกตหลายอย่างที่ต้องคำนึงถึงมากกว่าแค่ ดูขนาดห้อง และ ราคาอะไหล่ของแผ่นกรอง ไม่ว่าจะเป็นประเภทของแผ่นกรองชนิดต่างๆ การดูแลรักษา ประสิทธิภาพในการกรอง อัตราการเปลี่ยนถ่ายอากาศสะอาด มลภาวะทางเสียง แม้กระทั่งการใช้พลังงาน
ต้องพิจาณาอะไรบ้าง?
เครื่องฟอกอากาศที่ดีจะต้องทำงานได้เงียบและสามารถลดอนุภาคฝุ่นละอองต่างๆ ภายในห้องได้อย่างมีประสิทธิภาพซึ่งวัดได้จากอัตราการเปลี่ยนถ่ายอากาศต่อชั่วโมงและมีค่า (CADR) ที่ค่านี้ยิ่งมากยิ่งดี
1 ค่า CADR มันคืออะไรหล่ะ
CADR มาจากคำว่า Clean Air Delivery Rate ซึ่งเป็นตัวเลขที่ได้จากการวัดปริมาณอากาศทั้งหมดที่ระบบฟอกอากาศสามารถทำความสะอาดอากาศปนเปื้อนสิ่งสกปรกที่เฉพาะเจาะจงอย่างใดอย่างหนึ่งได้ในช่วงเวลา 1 นาที ซึ่งค่านี้จะช่วยให้เราสามารถตัดสินใจได้ง่ายขึ้น หากตัวเลือกที่เราต้องการซื้อนั้นมีการใช้แผ่นกรองที่มีคุณภาพหรือประสิทธิภาพเท่าๆ กัน ค่า CADR นี้จะถูกทดสอบโดยหน่วยงานที่เป็นกลางคือ Association of Home Appliance Manufacturers (ย่อว่า AHAM) โดยค่า CADR นี้ยังถือเป็นค่ามาตรฐานกลางที่รับรองโดยหน่วยงานด้านการปกป้องสิ่งแวดล้อมและสถาบันสุขภาพปอดแห่งสหรัฐอเมริกา
2 Air Volume หรือ Airflow สำคัญอย่างไร
Air Volume (หรือบางยี่ห้อจะใช้คำว่า Airflow) สำคัญยังไง? ลองนึกภาพสระว่ายน้ำสองสระที่ผ่านการใช้งานมานานจนน้ำเริ่มสกปรกมีสีขุ่นมัว ทั้งสองสระมีการติดตั้งแผ่นกรองที่มีคุณภาพเท่ากันทุกอย่าง จะแตกต่างกันก็แค่เครื่องปั๊มน้ำ โดยเครื่องปั๊มในสระ A สามารถส่งน้ำที่ผ่านการกรองแล้วได้ ¼ ของสระทุกๆ ชั่วโมง ผ่านไป 2 ชั่วโมง น้ำในสระที่หนึ่งก็เริ่มใสขึ้นครึ่งหนึ่งเมื่อเทียบกับก่อนเริ่มทำความสะอาด และจะสะอาดหมดทั่วทั้งสระหลังจากผ่านไป 4 ชั่วโมง ในขณะที่สระ B ปั๊มน้ำสามารถส่งน้ำสะอาดออกมาได้ชั่วโมงละ 1/10 หมายความว่า คุณจะต้องรอถึง 10 ชั่วโมงกว่าน้ำทั้งหมดในสระจะสะอาดนั่นเอง
3 ค่า Area Coverage
Area Coverage (ขนาดห้องที่เครื่องสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ) เช่น 34 ตารางเมตร ซึ่งเราควรวัดขนาด กว้างxยาว ของห้องไว้ก่อนจะไปซื้อ อีกค่าหนึ่งคือ Air Changes per Hour (ACH) หรืออัตราการเปลี่ยนถ่ายอากาศสะอาดให้กับห้องภายในหนึ่งชั่วโมง เช่น หากระบุค่าเป็น ‘5’ ก็หมายความว่า อากาศให้ห้องจะถูกเปลี่ยนถ่ายให้เป็นอากาศที่สะอาดให้คุณหายใจได้อย่างสดชื่นถึง 5 รอบทุกชั่วโมง
นอกเหนือจากนี้ถือเป็นเรื่องรอง ไม่ว่าจะเป็นฟังก์ชัน ซึ่งถ้ายิ่งง่าย ปุ่มน้อย ยิ่งก็ยิ่งดี บางรุ่นอาจะเป็นระบบแมนนวลทั้งปุ่มเปิดปิดและปุ่มควบคุมระดับความแรง ซึ่งก็ดีคือ (น่าจะ)ทนทานกว่า ในขณะที่บางรุ่นจะเป็นปุ่มแบบดิจิตอล มีจอแสดงผล ฯลฯ เรื่องความสวยงามนั้นสุดแล้วแต่ใครจะมอง
แต่ที่สำคัญคือระบบนี้ควรจะมี Auto Mode ที่สามารถปรับระดับความแรงของมอเตอร์ได้โดยอัตโนมัติ (รุ่นลักษณะนี้จะมีเซนเซอร์ตรวจสภาพอากาศในห้องด้วย) ข้อเสียก็คือ (อาจจะ)พังง่ายกว่า และอะไหล่แพงกว่า และบางรุ่นก็แถมฟังก์ชันตั้งเวลาเปิด-ปิดการทำงาน หรือแม้กระทั่งรีโมทคอนโทรลมาให้ด้วย อีกเรื่องที่ต้องไม่ลืมก็คือ เรามักจะเปิดใช้เครื่องฟอกตอนกลางคืน ดังนั้นมันจึงควรต้องทำงานได้เงียบมากๆ ที่เหลือก็พวกอะไหล่ไส้กรอง ควรปรึกษาพนักงานขายว่าหาซื้อได้ยากง่ายแค่ไหน ราคาประมาณเท่าไหร่ จะใช้งานได้ยาวนานแค่ไหน หากสามารถถอดทำความสะอาดได้ด้วยก็จะช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายได้มากขึ้น
ขอขอบคุณข้อมูลจาก daddylittlethings
อ่านบทความอื่นที่น่าสนใจ