เครื่องฟอกอากาศ ( Air Purifier ) เป็นเครื่องใช้ ประเภทหนึ่ง ที่จะช่วย กำจัดเชื้อโรค แบคทีเรีย ฝุ่น และ ยังช่วยกำจัด กลิ่นที่ไม่พึงประสงค์ ทั้งกลิ่น ควันบุหรี่ กลิ่นอับ หรือ PM2.5 ให้จางหายไป และ ทดแทนด้วย อากาศ ที่แสนบริสุทธิ์ มาแทน นั่นเอง
โดยหลัก การทำงานของ เครื่องฟอกอากาศ ( Air Purifier ) โดยทั่วไปแล้ว จะดูดอากาศ เข้าไปใน ตัวเครื่อง แล้วกรองอากาศ ที่ผ่านเข้ามา ดักจับเชื้อโรค ด้วยแผ่นกรองอากาศ แล้วจึงปล่อย อากาศที่ บริสุทธิ์ ออกมา ทดแทน
วิธีการเลือกซื้อ เครื่องฟอกอากาศ ( Air Purifier )
1) Air Flow
แอร์โฟร์ คือ ตัววัดความเร็วลม เป็นค่าที่แสดงถึง ปริมาณอากาศ ที่ถูกกรอง ยิ่งมีค่าแอร์โฟร์มาก ก็หมายความว่า จะสามารถ กรองอากาศ และ ปล่อยอากาศ บริสุทธิ์ กลับเข้าสู่ห้อง ได้เร็วมากขึ้น เท่านั้น การเลือกซื้อ เครื่องฟอกอากาศ ( Air Purifier ) สิ่งแรก ที่ควรพิจารณา ในการซื้อ คือ Air Flow ยิ่งแอร์โฟลว์ สูงมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งฟอกอากาศ ได้ไวกว่า ตามไปด้วย
2) ขนาดของห้อง
ขนาดห้อง เป็นอีกสิ่งหนึ่ง ที่ควรพิจารณา เวลาจะซื้อ เครื่องฟอกอากาศ ( Air Purifier ) ถ้าซื้อ เครื่องฟอกอากาศ ( Air Purifier ) ขนาดเล็ก แต่นำไปใช้ ในห้องขนาด 40 – 50 ตารางเมตร ก็จะทำให้ อากาศสะอาด ไม่ทั่วถึง เหมือนกับใช้ ประโยชน์ของ เครื่องฟอกอากาศ ( Air Purifier ) ได้ไม่เต็มที่ แต่ในทางกลับกัน ถ้าเป็นห้องนอนขนาดเล็ก ก็ไม่จำเป็น ที่จะต้องเลือก เครื่องฟอกอากาศ ( Air Purifier ) รุ่นใหญ่ มาใช้ให้กินไฟ โดยเปล่าประโยชน์ ดังนั้น เครื่องฟอกอากาศ ( Air Purifier ) ควรพอดีกับ ขนาดของห้อง เป็นสิ่งสำคัญ
3) ค่า CADR ( Clean Air Delivery Rate )
ค่า CADR เป็นค่าที่แสดงว่า เครื่องฟอกอากาศ ( Air Purifier ) ตัวนั้น ๆ สามารถ ฟอกสิ่งสกปรก ออกจากอากาศ ได้มากน้อยแค่ไหน ในเวลา 1 นาที ถ้า ค่า CADR ยิ่งมาก ก็แสดงว่า มีความสามารถ ในการกรอง สิ่งสกปรกได้สูง นั่นเอง
4) ระดับเสียง
เครื่องฟอกอากาศ ( Air Purifier ) รุ่นใหญ่หลาย ๆ ยี่ห้อ มักจะมีเสียงดังในขณะที่เปิดใช้งาน สำหรับ เครื่องฟอกอากาศ ( Air Purifier ) ที่ดีไม่ควรมีเสียงรบกวนไม่ว่าจะ เวลานอน หรือ กิจกรรมต่าง ๆ ระดับเสียงที่เหมาะสมควรไม่เกิน 40 เดซิเบล
5) การประหยัดไฟ
เครื่องฟอกอากาศ ( Air Purifier ) เป็นอุปกรณ์ไฟฟ้าที่ต้องเปิดใช้งานตลอดทั้งคืน ทุกวัน ดังนั้น เรื่องที่สำคัญอีกเรื่องหนึ่งคือเรื่องประหยัดไฟ เมื่อซื้อ เครื่องฟอกอากาศ ( Air Purifier ) มาใช้งานแล้ว ควรตรวจสอบในเรื่องของแผ่นกรองอากาศ ทำความสะอาด หรือ เปลี่ยน ตามกำหนดที่ทางผู้ผลิตแจ้งไว้หรือไม่
เพราะยิ่งแผ่นกรองอากาศตันมากเท่าไหร่ จะยิ่งทำให้ เครื่องฟอกอากาศ ( Air Purifier ) ต้องออกแรงในการนำอากาศเข้าสู่ตัวเครื่องมากขึ้น ก็จะเป็นสาเหตุที่ทำให้กินไฟมากขึ้นด้วย ดังนั้นแล้ว เครื่องฟอกอากาศ ( Air Purifier ) จึงจำเป็น ต่อบ้านของเรา อย่างมาก
อ่านบทความเพิ่มเติม
Tag :