ในปัจจุบัน มลพิษ ไรฝุ่น แบคทีเรีย ไวรัส เชื้อราต่าง ๆ ที่มีอยู่ในบ้าน ที่เป็นสาเหตุ ทำให้ผู้คนป่วยเป็น โรคภูมิแพ้ กันมาก อีกทั้ง ยังกระทบกับ คุณภาพการใช้ชีวิต เจ็บป่วยง่าย ไม่แข็งแรง หายใจลำบาก ทำให้ต้อง เลือกใช้ เครื่องฟอกอากาศ ( Air Purifier )
เครื่องฟอกอากาศ ( Air Purifier ) ก็สามารถกำจัดสิ่งแปลกปลอม ที่มีอยู่ในอากาศ รวมถึงกลิ่นไม่พึงประสงค์ได้ ซึ่งราคาก็เป็นราคาที่ไม่สูงมาก หาซื้อได้ง่าย เมื่อแลกกับสุขภาพร่างกายของคุณ ซึ่งทุกคนก็ยินดีที่จะแลก เพราะถึงคุณจะมีเงินทองมากมายแค่ไหน แต่ถ้ามีโรคภัยมาเบียดเบียน ก็ขาดโอกาสที่จะใช้ร่างกายได้อย่างเต็มที่อยู่ดี เพราะฉะนั้น เครื่องฟอกอากาศ ( Air Purifier ) ก็มีความจำเป็นกับบ้านคุณอยู่ดี
การเลือกซื้อ เครื่องฟอกอากาศ ( Air Purifier ) ควรเลือกซื้ออย่างไร ?
1. ขนาดห้อง
การเลือกซื้อ เครื่องฟอกอากาศ ( Air Purifier ) ควรดูในเรื่องของความเหมาะสมในพื้นที่ห้องด้วย เพราะว่า เครื่องฟอกอากาศ ( Air Purifier ) แต่ละรุ่นมีประสิทธิภาพ ในการฟอกอากาศที่ต่างกัน เช่น การซื้อ เครื่องฟอกอากาศ ( Air Purifier ) ขนาดเล็ก แต่นำไปวางไว้ในห้องที่มีพื้นที่ขนาดใหญ่ ก็จะทำให้เครื่องมีประสิทธิภาพไม่เต็มที่ และหากซื้อ เครื่องฟอกอากาศ ( Air Purifier ) ขนาดใหญ่ แต่นำไปวางไว้ในห้องที่มีพื้นที่ขนาดเล็ก ก็จะทำให้เปลืองไฟ
2. ราคา
ไม่ใช่เพียงแค่ การสำรวจของราคา เครื่องฟอกอากาศ ( Air Purifier ) เท่านั้น แต่ควรจะศึกษาถึง ราคาของตัวกรองหรือไส้กรอง ของเครื่องฟอกอากาศ ( Air Purifier ) ด้วย เพราะว่า เครื่องฟอกอากาศ ( Air Purifier ) ทุกชนิดจำเป็นจะต้องเปลี่ยนไส้กรอง เป็นประจำ เพื่อให้ เครื่องฟอกอากาศ ( Air Purifier ) ทำงานได้อย่าง มีประสิทธิภาพ เพราะฉะนั้น ควรศึกษาราคาของแผ่นกรอง และการบำรุงรักษาในส่วนอื่น ๆควบคู่ไปด้วย
3. ระบบการทำงาน
ระบบการทำงาน เป็นอีกอย่างหนึ่งที่ควรพิจารณา ในการเลือกซื้อ เครื่องฟอกอากาศ ( Air Purifier ) ขั้นแรกต้องดูก่อนว่าระบบการทำงาน และคุณสมบัติตอบโจทย์การใช้งานของคุณหรือไม่ ทั้งนี้ รวมไปถึงฟังก์ชันการใช้งานอื่น ๆ เช่น เซ็นเซอร์ตรวจวัด คุณภาพอากาศ, ตัวระบุการเปลี่ยนแผ่นกรอง, ตัวควบคุมความเร็ว และรีโมตสั่งการ เพราะสิ่งเหล่านี้ถือเป็นคุณสมบัติที่ควรนำมาพิจารณาก่อนเลือกซื้อ
4.ค่า Airflow
ค่า Airflow หรือตัววัดความเร็วลม จากปริมาณของอากาศ ที่ถูกดูดเข้าไป และเวลาในการปล่อยอากาศออกมาจาก เครื่องฟอกอากาศ ( Air Purifier ) ซึ่งถ้าหากว่า เครื่องฟอกอากาศ ( Air Purifier ) รุ่นนั้นมีค่า Airflow สูง ก็หมายความว่า เครื่องฟอกอากาศ ( Air Purifier ) รุ่นนั้นมีประสิทธิภาพในการฟอกอากาศสูง
5.ค่า CADR
ค่า CADR (Clean Air Delivery Rate) หรืออัตราการสร้าง อากาศบริสุทธิ์ต่อนาที ซึ่งเป็นค่าสากลที่ใช้วัดประสิทธิภาพ ในการทำงานของ เครื่องฟอกอากาศ ( Air Purifier ) ถ้ามีค่า CADR สูง หมายความว่า เครื่องฟอกอากาศ ( Air Purifier ) มีประสิทธิภาพในการทำงานดีขึ้น
6.ระดับเสียง
อีกหนึ่งเรื่อง ที่ไม่ควรมองข้าม โดยที่ เครื่องฟอกอากาศ ( Air Purifier ) ที่ดี ควรมีระดับเสียงการทำงานที่ต่ำ เพื่อป้องกันการรบกวนขณะพักผ่อน ซึ่งระดับเสียงที่มีความเหมาะสม ไม่ควรเกิน 30-31 เดซิเบล
7.การประหยัดไฟ
หากจะถามว่า เครื่องฟอกอากาศ ( Air Purifier ) กินไฟหรือไม่นั้น ส่วนหนึ่งก็ขึ้นอยู่กับแผ่นกรอง ซึ่งถ้าหากว่าแผ่นกรองมีความหนาแน่นมาก อากาศผ่านได้น้อย จะทำให้ เครื่องฟอกอากาศ ( Air Purifier ) ทำงานหนัก และกินไฟมาก เพราะฉะนั้นควรเลือก เครื่องกรองอากาศที่อากาศสามารถไหลผ่านได้ดี นอกจากนี้ ควรเปรียบเทียบค่าาไฟจากฉลาก ประหยัดไฟเบอร์5 เพื่อนำมา พิจารณาประกอบการตัดสินใจอีกที
ตอนนี้ก็ตัดสินใจกันได้แล้วนะคะ ว่าควรเลือกซื้อ เครื่องฟอกอากาศ ( Air Purifier ) อย่างไร จึงจะเหมาะกับบ้านของคุณมากที่สุด
อ่านบทความเพิ่มเติม
Tag :