คนเรา ต่างใช้ชีวิตประจำวัน อยู่กับ มลพิษ ฝุ่นละออง จนเริ่มมีปัญหา ในด้านทางเดินหายใจ จนต้องมองหา ตัวช่วย อย่าง เครื่องฟอกอากาศ ( Air Purifier ) เพราะว่า ถือเป็น อีกหนึ่ง อุปกรณ์ ที่จำเป็น ซึ่งกำลัง เป็นที่ต้องการ จนแทบ จะขาดตลาด
การจะลงทุนกับ เครื่องฟอกอากาศ ( Air Purifier ) สักเครื่อวนั้น จะต้องลงทุน อย่างน้อย 3,000 – 4,000 บาทขึ้นไป หรือ อาจเข้าขั้นหลักหมื่น เพื่อจะได้ เครื่องฟอกอากาศ ( Air Purifier ) ที่มีคุณภาพดี มาใช้ ภายในบ้าน ดังนั้น การจะเสียเงินทั้งที ควรมีหลักเกณฑ์ ว่าควรจะดูอะไรบ้าง ก่อนตัดสินใจ เลือกซื้อ เครื่องฟอกอากาศ ( Air Purifier ) สักเครื่อง
1) พื้นที่ใช้งาน
จะต้องพิจารณาก่อนว่า ห้องที่เราจะไปวาง เครื่องฟอกอากาศ ( Air Purifier ) มีขนาดกี่ตารางเมตร เพราะกำลังการทำงานของเครื่องฟอกอากาศ ( Air Purifier ) แต่ละรุ่นถูกออกแบบตามขนาดพื้นที่ใช้งานจำกัด เหมือนกับเครื่องปรับอากาศ ห้องใหญ่ก็ต้องใช้เครื่องที่มีบีทียูสูงๆ แน่นอนว่าเรื่องนี้มีผลกับราคาด้วย อย่างเช่น ในรุ่นเดียวกันเครื่องสำหรับพื้นที่ 22 ตารางเมตร ก็ย่อมราคาถูกกว่าที่ใช้กับพื้นที่ 42 ตารางเมตร
2) ชนิดของแผ่นกรองอากาศ
เครื่องกรองอากาศ มักมีคำโฆษณามากมาย บ้างบอกว่าป้องกันการแก้แพ้อากาศ บ้างบอกป้องกันฝุ่น บ้างบอกช่วยแก้ปัญหากลิ่น อีกทั้ง บางรุ่นสามารถกรองก๊าซพิษต่างๆ ได้ ซึ่งประเภทของ ‘แผ่นกรองอากาศ’ เป็นหัวใจสำคัญของเรื่องนี้ เนื่องจากแผ่นกรองแต่ละแบบจะสามารถ กรองฝุ่นได้ไม่เท่ากัน คำที่พบเห็นบ่อย ก็คือ แผ่นกรองอากาศเฮปา HEPA ( High Efficiency Particulate Air Filter ) ที่กำลังเป็นที่นิยม เพราะว่าถือว่าเป็นตัวกรองที่สามารถช่วยกำจัดฝุ่นละอองได้ถึงขนาด 0.3 ไมครอน
3) ราคาแผ่นกรองอากาศ
ราคาของแผ่นกรองอากาศ ก็เป็นอีกปัจจัยที่ต้องนำมาคำนวณ ว่าราคาเท่าไร และจะต้องเปลี่ยนถี่แค่ไหน ส่วนใหญ่มักให้เปลี่ยนทุก ๆ 6–12 เดือน และยังมีอายุการใช้งานไม่เท่ากัน บางครั้งเครื่องกรองที่ราคาไม่แพง แต่ใช้แผ่นกรองแบบบาง ๆ ที่อาจต้องเปลี่ยนบ่อย ๆ แถมยังราคาแพง นั่นอาจหมายถึง ค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นที่จะงอกเพิ่มขึ้นได้ในอนาคต
4) CADR + Airflow บอกพลังลมสะอาด
ค่า CADR หรือ Clean Air Delivery Rate เป็นค่าที่บอกว่า เครื่องฟอกอากาศ ( Air Purifier ) นี้สร้างปริมาณอากาศบริสุทธิ์ได้เท่าไรใน 1 นาที ถ้าตัวเลขนี้เยอะก็แปลว่ามีประสิทธิภาพการฟอกอากาศได้ดี เป็นอีกข้อมูลหนึ่งที่ควรดูเปรียบเทียบกัน
ส่วนค่า Airflow ใช้วัดความเร็วในการฟอกอากาศให้บริสุทธิ์ ยิ่งสูงก็หมายความว่าใช้เวลากรองอากาศออกมาได้เร็วนั่นเอง
5) ขนาด การออกแบบ และน้ำหนัก
เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับความสวยงามและความสะดวกในการใช้งาน นอกจาก เครื่องฟอกอากาศ ( Air Purifier ) จะเลือกที่การออกแบบ สี วัสดุ ให้ถูกใจและเข้ากับเฟอร์นิเจอร์ในบ้านแล้ว ต้องคิดด้วยว่าซื้อนำไปวางไว้มุมไหนของบ้าน จะตั้งเครื่องอยู่กับที่หรืออยากให้หยิบยกเคลื่อนย้ายได้สะดวก ซึ่งสำหรับกรณีที่ต้องเคลื่อนย้ายควรเลือกแบบน้ำหนักไม่มาก เพื่อให้เคลื่อนย้ายได้ง่าย
6) เสียงดังแค่ไหน
อย่าลืมดูคุณสมบัติของ เครื่องฟอกอากาศ ( Air Purifier ) ว่าขณะที่เปิดใช้งานแรงสุด เครื่องฟอกอากาศ ( Air Purifier ) นั้นส่งเสียงหึ่ม ๆ ออกมาดังขนาดไหน รบกวนการนอนหลับพักผ่อนของเราหรือไม่ หากจะเปิดในเวลากลางคืนคนที่นอนหลับยาก ก็ควรพิจารณาในเรื่องนี้ด้วย
7) ฟังก์ชั่นพิเศษ
ขึ้นอยู่กับคนใช้งานว่าต้องการฟังก์ชั่นพิเศษอะไรหรือไม่ที่นอกจากการฟอกอากาศ อย่างเช่น การตั้งเวลาเปิด-ปิดอัตโนมัติ ระบบสั่งการด้วยรีโมท หรือแอปพลิเคชั่นบนมือถือ บางคนอาจสนใจรุ่นที่มีตัววัดฝุ่นบอกตัวเลขในตัว
8) กรองอากาศ พร้อมกับรักษาระดับความชื้น
เพื่อให้คนรู้สึกอยู่สบายมากขึ้น เครื่องฟอกอากาศ ( Air Purifier ) บางรุ่นจึงมีตัวเพิ่มความชื้นในอากาศ เพื่อไม่ให้อากาศแห้งเกินไป
9) กินไฟหรือไม่
เครื่องทุกรุ่นมักบอกกำลังวัตต์ว่า เครื่องฟอกอากาศ ( Air Purifier ) รุ่นนั้นมีอัตราการกินไฟเท่าไร ยิ่งวัตต์สูงก็จะยิ่งกินไฟมาก
10) มีรับประกันไหม
อย่าลืมดูด้วยว่า เครื่องฟอกอากาศ ( Air Purifier ) นั้นให้ระยะเวลาของการรับประกันนานเท่าไร และต้องพิจารณาความยากง่ายของการหาอะไหล่ด้วย ซึ่งการเลือกยี่ห้อที่นิยมในไทยหรือมีศูนย์บริการในประเทศเยอะ จะช่วยให้อุ่นใจได้ในยามที่เครื่องมีปัญหาได้
การจะซื้อ เครื่องฟอกอากาศ ( Air Purifier ) แต่ละรุ่นและยี่ห้อนั้น สิ่งสำคัญก่อนการตัดสินใจซื้อก็คือ ต้องรู้ความต้องการของตัวเองให้แน่ชัด เพื่อให้เกิดความคุ้มค่าและพอใจกับเงินที่จ่ายไป
อ่านบทความเพิ่มเติม
Tag :