เรามักพบเจอกับปัญหาสภาพแวดล้อมในทุก ๆ วัน ทั้งฝุ่นละออง มลพิษและควันจากท่อไอเสียของรถยนต์ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ก่อให้เกิดการสะสมของฝุ่นละอองในอากาศเพิ่มขึ้นและเกิด pm 2.5 ขึ้นนั่นเอง ในปัจจุบันประเทศไทยมีค่า PM 2.5 มากจนขึ้นไปอยู่ในอันดับที่ 5 ของโลก ทำให้หลาย ๆ คนมองหาตัวช่วยในการดักฝุ่นละอองหรือเชื้อโรคด้วยเครื่องฟอกอากาศ (Air Purifier) ซึ่งเป็นตัวเลือกที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากและมีแบรนด์ให้เลือกใช้หลากหลาย ซึ่งผู้บริโภคอย่างเราสามารถเลือกเครื่องฟอกอากาศ (Air Purifier) ที่เหมาะสมกับการใช้งานด้วยปัจจัยดังนี้
1. เลือกเครื่องฟอกอากาศ (Air Purifier) ให้เหมาะกับขนาดของห้องหรือสถานที่
สิ่งแรกที่เราต้องคำนึงถึงเลยก็คือขนาดของห้อง เพราะเราต้องเลือกใช้เครื่องฟอกอากาศที่สามารถฟอกอากาศได้ทั่วทั้งห้องซึ่ง เครื่องฟอกอากาศ (Air Purifier) สามารถแบ่งออกเป็น 4 ประเภท
เครื่องฟอกอากาศตั้งโต๊ะหรือตั้งพื้น เหมาะสำหรับใช้ในพื้นที่ขนาดเล็ก เช่น คอนโด ห้องนอนหรือแม้กระทั่งออฟฟิศขนาดเล็ก เป็นที่นิยมมากเพราะขนย้ายสะดวกและกรองอากาศได้ดี
เครื่องฟอกอากาศในรถยนต์ เราควรเลือกเครื่องฟอกอากาศที่มีความสามารถในการเปิดใช้งานได้เองเพื่อไม่ให้เสียสมาธิในการขับรถ
เครื่องฟอกอากาศฝังฝ้าเพดาน เหมาะสำหรับห้องขนาดใหญ่ นิยมใช้ในออฟฟิศขนาดใหญ่หรือพื้นที่กว้างอย่างห้างสรรพสินค้า มีราคาค่อนข้างสูงแต่ก็มีความสามารถที่เหนือกว่าแบบตั้งโต๊ะหรือตั้งพื้น เพราะสามารถกระจายอากาศที่ผ่านการฟอกได้อย่างทั่วถึงทุกมุมห้อง
เครื่องฟอกอากาศแบบสวม มีทั้งแบบคล้องคอและแบบห้อยคอ ซึ่งกำลังเป็นที่นิยมลองมาจากเครื่องฟอกอากาศแบบตั้งโต๊ะ เหมาะสำหรับคนที่อยู่ในที่ ๆ มีผู้คนแออัดเป็นประจำ
2. ค่า CADR และ AIR FLOW ต้องสูง
ค่า CADR คือค่าการเปลี่ยนถ่ายอากาศ เป็นอัตราการทำความสะอาดที่ตัวเลขยิ่งสูงยิ่งดีเพราะจะแสดงให้เห็นว่าเครื่องฟอกอากาศเครื่องนี้สามารถทำงานได้ดี ส่วน Air Flow คือตัววัดความเร็วลม เครื่องฟอกอากาศที่ดีควรมีความเร็วลมที่สูงเพื่อช่วยในการฟอกอากาศให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
3. ตรวจดูไส้กรองฝุ่นหรือแผ่นกรองดักฝุ่น
ไส้กรองฝุ่นหรือแผ่นกรองดักฝุ่นเรียกได้ว่าเป็นส่วนประกอบที่สำคัญมากของเครื่องฟอกอากาศ (Air Purifier)เพราะเป็นด่านแรกในการดักจับฝุ่น ทางที่ดีจะต้องดูไส้กรองที่มีความละเอียดมาก เพราะจะสามารถดักจับฝุ่นที่เล็กมาก ๆ อย่าง PM 2.5 ได้ดียิ่งขึ้น
4. เสียงของเครื่องฟอกอากาศ จะต้องไม่ดังจนเกินไป
เครื่องฟอกอากาศที่ดีควรมีระดับเสียงที่ไม่รบกวนสมาธิในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นการทำงานหรือการนอนหลับ ระดับเสียงของเครื่องกรองฝุ่นที่ดีควรจะอยู่ที่ไม่เกิน 30 เดซิเบล
5. คุณสมบัติของเครื่องฟอกอากาศ (Air Purifier)
ในปัจจุบันมีหลายบริษัทที่ผลิตเครื่องฟอกอากาศออกมาเป็นจำนวนมาก และเกิดการแข่งขันกันในตลาดของเครื่องฟอกอากาศ ผู้ประกอบการจึงได้คิดค้นวิธีการเพิ่ม Function เสริมหรือคุณสมบัติของเครื่องฟอกอากาศขึ้นมา ในแต่ละแบรนด์ก็จะมีความเหมือนหรือแตกต่างกันบ้างปะปนกันไป เพื่อใช้ในการเพิ่มแรงจูงใจให้ลูกค้าสนใจและเลือกซื้อสินค้าของตนเอง อาทิเช่น การเพิ่มระบบสัมผัสและการแจ้งเตือนเมื่อถึงเวลาที่จะต้องเปลี่ยนแผ่นกรอง ระบบป้องกันไฟตก ไฟกระชาก เซนเซอร์ตรวจวัดคุณภาพอากาศ หรือแม้กระทั่งระบบที่ช่วยประหยัดพลังงาน เป็นต้น
นอกจากนี้ยังมีปัจจัยอื่น ๆ อีกมากมายที่เราต้องคำนึงถึง เช่นอัตราการกินไฟ น้ำหนักของเครื่องฟอกอากาศ การบริการหลังการขาย ฯลฯ